ในฤดูกาล 2018/2019 มีหลาย ๆ เกมการแข่งขันที่ทำให้แฟนบอลแทบคลั่ง ทั้งในนัดที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพลิกกลับมาชนะปารีส แซงต์ แชร์กแมงแบบที่ไม่มีใครคาดคิด หรือจะเป็นแมตช์ที่ลิเวอร์พูลคืนชีพถล่มบาร์เซโลน่าจนไปคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้อย่างไม่มีใครคาดฝัน แต่จริง ๆ แล้วนี่ยังไม่ใช่ที่สุดของความเร้าใจที่เคยเกิดขึ้นหรอก

โดยเราได้ทำการรวบรวม 3 ช่วงเวลาแห่งการเปิดประตูสู่หน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของเหล่าสโมสรชั้นนำอังกฤษมาให้คุณได้ตกตะลึงและหวนนึกถึงกัน แต่ตรงใจใครหลาย ๆ คนหรือไม่ไปดูพร้อม ๆ กันได้เลย

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ VS ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส

นี่คือช่วงเวลาที่เหล่าแฟนบอลเรือใบสีฟ้าต่างรอคอย โดย ณ ขณะนั้นทีมมีโอกาสเข้าใกล้บัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุดในรอบ 44 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก่อนเริ่มเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาลแมนเชสเตอร์ ซิตี้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต่างมีคะแนนเท่ากันอยู่ที่ 86 แต้มและเป็นทางซิตี้ที่มีประตูได้เสียดีกว่า ดังนั้นขอแค่เพียงพวกเขาชนะก็จะสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ทันที

แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นดั่งใจคิด เมื่อช่วงท้ายเกมดันตามหลังคู่แข่งอย่างควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์สอยู่ 1 ประตูต่อ 2 ในขณะที่ฝั่งยูไนเต็ดปิดเกมเอาชนะซันเดอร์แลนด์ไปเรียบร้อยแล้ว แต่วินาทีนั้นเองเทพธิดาแห่งปาฏิหาริย์ก็บันดาลพรให้
เอดิน เชโก้ มาซัดประตูตีเสมอได้ในช่วงเริ่มต้นทดเวลาบาดเจ็บ และจากนั้นก็เป็นทางกุน อเกวโร่ศูนย์หน้าดาวยิงชาว
อาร์เจนติน่ามายิงปิดบัญชีในนาทีที่ 90+4 พาทีมชูถ้วยพรีเมียร์ลีกตัดหน้ายูไนเต็ดคู่แข่งร่วมเมืองที่ครองความยิ่งใหญ่มายาวนานได้สำเร็จ

เชลซี VS บาเยิร์น มิวนิค

ภายหลังจากที่เสี่ยหมี โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร ก็ทำให้ทัพสิงโตน้ำเงินครามเชลซีเดินหน้ากวาดถ้วยรางวัลมาประดับตู้โชว์ครั้งแล้วครั้งเล่า จะขาดก็เพียงแค่ถ้วยรายการใหญ่ที่สุดของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เท่านั้นที่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้เสียที แถมในฤดูกาล 2011/2012 ก็เหมือนจะเป็นอีกปีแห่งความล้มเหลว เพราะสโมสรทำผลงานได้ย่ำแย่จนถึงขั้นที่ว่าผู้จัดการทีมในตอนนั้นอย่าง อันเดร วิลลาช โบอาช ต้องเก็บข้าวของออกไปจากถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ก่อนเวลาอันควร

ณ เวลานั้นคงไม่มีใครคาดคิดว่าที่ปลายอุโมงค์อันมืดมิดจะมีแสงสว่างรออยู่ เมื่อทีมฝ่าฝันเข้าไปดวลกับบาเยิร์น มิวนิค ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบชิงชนะเลิศ และหักปากกาเซียนทุกสำนักด้วยลูกโหม่งตีเสมอในช่วงก่อนหมดเวลาเพียงแค่ 2 นาทีของดีดิเย่ร์ ดร็อกบา แถมอาร์เยน ร็อบเบน ศิษย์เก่าที่ย้ายไปอยู่ทัพเสือใต้ดันยิงจุดโทษพลาดอีกในช่วงต่อเวลา ส่งผลให้ท้ายที่สุดเป็นทางเชลซีที่ดวลจุดโทษแม่นกว่าจนได้แชมป์มาครองอย่างเหนือความคาดหมาย

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด – บาเยิร์น มิวนิค

ดูเหมือนว่า บาเยิร์น มิวนิค จะเป็นทีมที่ไม่ค่อยถูกชะตากับสโมสรจากอังกฤษสักเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่แค่เชลซีที่เคยทำให้ผิดหวังพลาดแชมป์ แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเองก็เป็นอีกหนึ่งรายชื่อที่อยู่ในลิสต์บัญชีแค้นเช่นเดียวกัน

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1999 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก บาเยิร์น มิวนิคได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจาก
มาริโอ บาสเลอร์ แล้วจัดการปิดเกมด้วยแผงปราการเหล็กที่มีนายทวารระดับโลกอย่างโอลิเวอร์ คาร์น ยืนป้องกันหน้าประตูอยู่ จนดูแล้วไม่มีหนทางใดเลยที่ทัพปีศาจแดงจะเจาะประตูได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ของเหล่าขุนพลยูไนเต็ด ทำให้มาได้
2 ประตูจาก 2 ศูนย์หน้าตัวสำรองอย่าง เท็ดดี้ เชอริงแฮม และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ส่งผลให้ยูไนเต็ดกลายเป็นทีมแรกในเกาะอังกฤษที่คว้าทริปเปิลแชมป์มาครองได้ในฤดูกาลเดียว

และนี่คือ 3 นัด 3 ปาฏิหาริย์ 3 ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสโมสรต่าง ๆ ที่เราได้นำมาฝากกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเหล่าแฟนบอลทั้งหลาย และเชื่อได้เลยว่าจะถูกหยิบยกมาพูดถึงไปอีกนานแสนนาน