ในการศึกสงครามหากคุณสูญเสียผู้บัญชาการกองทัพไป ย่อมมิอาจกำชัยในสมรภูมินั้น ๆ ได้ ประโยคนี้อาจนำมาใช้กับวงการฟุตบอลได้เช่นเดียวกัน เพราะนับตั้งแต่ที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ประกาศวางมือจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ใครจะเชื่อว่าสโมสรอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ครองความยิ่งใหญ่มานานแสนนาน กลับต้องพุ่งชนกับความล้มเหลวและพ่ายแพ้ในสังเวียนต่าง ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เราอยากจะพาคุณย้อนอดีตไปรู้จักกับความเป็นมาของชายผู้นี้กันดีกว่าว่า เหตุใดคนเพียงคนเดียวจึงสร้างผลกระทบไปสู่วงกว้างได้มากมายถึงเพียงนี้

13 แชมป์ลีก 26 แชมป์บอลถ้วยรายการต่าง ๆ คือสถิติที่ยืนยันถึงความสำเร็จของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ทำไว้ได้เป็นอย่างดี โดยประวัติศาสตร์เปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ปี 1986 ที่ชายคนนี้ก้าวเข้ามากู้ศรัทธาเหล่าแฟนบอลจากสภาวะความตกต่ำที่กำลังจมอยู่ในอันดับที่ 4 จากท้ายตาราง หน้าที่สำคัญของเขาจึงจำเป็นต้องพาทีมหนีรอดจากการตกชั้นให้ได้ ซึ่งสุดท้ายก็ทำได้สำเร็จด้วยการจบอันดับที่ 11 ในท้ายฤดูกาล แถมในปีต่อมายังพาทีมคว้าตำแหน่งรองแชมป์อีกด้วย

แต่ ณ ขณะนั้นไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าบนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบกำลังมีหายนะรออยู่ เพราะในฤดูกาล 1989/1990 ทีมเริ่มทำผลงานดิ่งลงเหวจนหล่นไปอยู่ท้ายตารางอีกครั้ง เหล่าแฟนบอลที่เคยสนับสนุนจึงเริ่มออกมาประท้วงขับไล่ผู้จัดการทีม ยังดีที่ท่านเซอร์เฟอร์กี้สันพาสโมสรคว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้ในตอนท้าย ไม่เช่นนั้นเราอาจไม่ได้เห็นยูไนเต็ดเป็นอย่างทุกวันนี้

พอปลดล็อกแชมป์แรกได้ ถ้วยใบอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ตามมา จนวันที่เหล่าสาวกปีศาจแดงต่างรอคอยกันมากว่า 26 ปีได้มาถึง เมื่อในฤดูกาล 1992/93 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจัดการคว้าตัว เอริค คันโตน่า ที่ทางเฟอร์กูสันหมายมั่นปั้นมือให้กลายมาเป็นขุนพลคู่ใจ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ผิดหวังโดยสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จ

ต่อมาในปี 1998/99 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้ทำสิ่งที่ไม่เคยมีสโมสรไหนในประเทศทำได้มาก่อน ด้วยการพาทีมกวาดแชมป์ 3 รายการใหญ่ในฤดูกาลเดียวทั้งพรีเมียร์ ลีก, เอฟเอ คัพ และยูโรเปี้ยน คัพ (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในปัจจุบัน) ส่งผลให้เขาได้รับยศอัศวินจากการสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศอังกฤษ จนเป็นที่มาของคำนำหน้าที่เราทุกคนต่างเรียกกันติดปากว่าท่านเซอร์นั่นเอง

และไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียว เพราะ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันก็ได้ทำในสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้อีกครั้งในฤดูกาล 2010/11 เมื่อจัดการคว้าถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 19 แซงสถิติเดิมที่อยู่มายาวนานของลิเวอร์พูลได้สำเร็จ โดยถือเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 12 จากทั้งหมด 19 ฤดูกาลที่คุมทีม แถมยังตอกย้ำให้เหล่าสาวกหงส์แดงชอกช้ำไปอีกกับแชมป์ลีกสมัยที่ 20 ในฤดูกาล 2012/2013 ก่อนอำลาตำแหน่งและทิ้งรอยเท้าอันยิ่งใหญ่ที่ยากจะหาใครมาแทนที่

ดังนั้นแล้วอย่าได้แปลกใจหากจนถึงทุกวันนี้ชื่อของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังคงถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่เสมอ เพราะชายผู้นี้คือผู้สร้างความยิ่งใหญ่ในแบบที่เหล่าสาวกยูไนเต็ดไม่มีทางลืมเลือนอย่างแน่นอน